นิตยสาร
5 สิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยส่งให้ลูกน้อยของคุณเข้านอน
จากที่คุณได้ติดตามอ่านบทความของเราเกี่ยวกับการอดนอนของเด็กวัยหัดเดินนั้น วันนี้เรามี 5 สิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยส่งให้ลูกน้อยของคุณเข้านอนได้ง่ายและเร็วขึ้นมานำเสนอกัน สถานีปกป้องฉันให้หลับฝันดี โมบายกล่อมเด็กที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีขั้นสูงซึ่งทำงานอย่างชาญฉลาดโดยจะมีเสียงเพลงบรรเลงหมุนเวียนกันไปเมื่อลูกน้อยขยับตัวในอิริยาบถต่างๆในขณะนอนหลับ เครื่องนี้จะบรรเลงเพลงและกระจายแสงอ่อนๆออกมาช่วยกล่อมให้ลูกน้อยหลับสบายในเตียงของเขา ในตัวเครื่องจะมีเซ็นเซอร์ที่ช่วยตรวจจับการเคลื่อนไหวและบรรเลงเพลงและเสียงอย่างคล้องจองกัน แสงไฟสลัวอ่อนๆจะเปิดขึ้นอัตโนมัติถ้าลูกน้อยตื่นขึ้นในตอนดึก เครื่องเพิ่มความชุ่มชื้นไอระเหยแบบเย็น เครื่องจะฉายแสงดาวที่ดึงดูดความสนใจจากลูกน้อยของคุณให้มองตามและพร้อยหลับไป อีกทั้งยังมีละอองน้ำที่สะอาดกระจายออกมาจากตัวเครื่องเพิ่มความชุ่มชื้นนี้ในขณะลูกน้อยนอนหลับ ในขณะที่เครื่องนี้สามารถใช้งานได้ทุกวันโดยการปรับระดับให้ต่ำลง มันยังเป็นตัวช่วยอุ่นเครื่องที่ดีซึ่งช่วยลูกของคุณได้ในบางวันที่เขานอนไม่หลับด้วย ตัวเครื่องเองนั้นยังสามารถขจัดความเสี่ยงที่ไม่ทำให้ละอองน้ำกระจายไปเข้าตาของลูกคุณด้วย ขวดนมทำความอุ่นอัตโนมัติ ด้วยรูปทรงและองค์ประกอบการทำความอุ่นอัตโนมัติที่ทันสมัยนี้จะทำให้คุณหมดกังวลกับขวดนมที่ไม่น่าดึงดูดความสนใจแบบในอดีตไปเลย ลูกของคุณจะได้ดื่มนมอุ่นๆไม่ว่าจะเมื่อไหร่หรือที่ไหนก็ตาม เบาะเสริมที่นอนระบบสั่นช่วยให้ลูกน้อยหลับง่าย สอดเบาะนี้เข้าไปใต้ที่นอนของลูกน้อย…
เราควรจะทำยังไงดีกับการอดนอนของเด็กๆ
คุณประสบปัญหาการปลุกลูกๆให้ตื่นนอนในตอนเช้าอยู่หรือไม่ พวกเขามีอาการสมาธิสั้นระหว่างวันหรือไม่สามารถจดจ่ออยู่กับกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งได้รึเปล่า มีความอยากอาหารเพิ่มขึ้นหรือมีพฤติกรรมที่ดื้อและไม่เชื่อฟังเกิดขึ้นรึเปล่า คุณอาจจะคิดไปได้ว่าอาการเหล่านี้ จริงๆแล้วเป็นลักษณะปกติที่เกิดจากการอดนอนของเด็กๆ และโรคอ้วนเองก็ถูกโยงว่าเป็นผลมาจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอของเด็กๆ เช่นกัน แล้วอย่างนี้เด็กจะต้องมีปริมาณการนอนเท่าไหร่ถึงจะถูกต้อง เมื่อลูกตื่นนอนนั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอแล้วหรอกหรอ โดยทั่วไปแล้วเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 4 ถึง 5 ขวบขึ้นไปควรจะนอนประมาณ 13 ชั่วโมงต่อวัน และแน่นอนว่าเด็กที่อายุน้อยกว่านั้นควรจะได้นอนกลางวันประมาณ 2 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งนั่นจะทำให้พวกเขาต้องการการพักผ่อนที่น้อยลงในช่วงเวลากลางคืน…
ทำไมเด็กที่เรียนสองภาษาถึงได้เกรดดีกว่าเด็กที่เรียนภาษาเดียว หาคำตอบกันได้ในบทความนี้กันเลย !!!
ในปัจจุบันการเดินทางไปต่างประเทศเป็นเรื่องที่ง่ายมากจึงทำให้ผู้คนได้มีโอกาสที่เรียนรู้วัฒนธรรมของต่างชาติได้ง่ายมากขึ้น ดังนั้นการให้บุตรหลานได้มีการเรียนรู้หลายภาษาตั้งแต่อายุที่ยังน้อยจะทำให้มีการเรียนรู้ได้ค่อนข้างเร็ว โดยการเริ่มต้นการเรียนสองภาษาในปัจจุบันมีหลากหลายที่เปิดรับไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนหรือเนอสเซอรี่ให้ท่านได้เลือก ซึ่งการดได้เรียนรู้สองภาษาไม่ได้ทำให้มีโอกาสได้งานดีอย่างเดียวแต่ยังทำให้พัฒนาทักษะในด้านอื่นๆด้วยเช่นกัน นอกจากนี้เด็กที่เรียนสองภาษาไม่ได้เรียนดีแต่ในโรงเรียนของพวกเขาเท่านั้นแต่ยังสามารถเรียนได้ดีในสถานศึกษาที่อื่นด้วยเช่นกัน จากผลงานวิจัยพบว่า เด็กสองภาษามักจะมีผลการเรียน มีความสนใจในบทเรียนได้ดีกว่าเด็กที่เรียนภาษาเดียว สิ่งเหล่านี้จะเห็นได้ชัดในส่วนของการทำงานของสมองของเด็กเมื่อพวกเขากลายเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตซึ่งจะมีความสามารถกลั่นกรองข้อมูลและรู้ตัวว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ การเรียนรู้หลายภาษาตั้งแต่แรกเกิดยังช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองและส่งผลให้มีการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับการวิจัยของมหาวิทยาลัยวอชิงตันทำการศึกษาโดย ดร.Kuhl ได้ศึกษาการทำงานของสมองโดยใช้เครื่องจำลองการทำงานของสมอง (MEG) พบว่า ทารกที่เรียนสองภาษามีกระบวนการรับรู้และมีการปรับตัวกับสถานการณ์ได้ดีมากกว่าทารกที่เรียนรู้แค่ภาษาเดียว โดยทั่วไปแล้วความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาทักษะทางภาษาจะมีความยากมากขึ้นเมื่อมีอายุที่มากขึ้นซึ่งผู้ใหญ่หลายท่านคิดว่ามันไม่ได้เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตแต่อย่างไร ซึ่งจริงๆแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างแรงกระตุ้น แต่อย่างไรก็ตามสมองของเด็กจะมีความแตกต่างกันไปเมื่อได้เรียนรู้ภาษามากกว่าหนึ่งภาษาในเวลาเดียวกันซึ่งสมองของทารกจะสามารถแยกแยะภาษาพื้นฐานจากการได้ยินเสียงหรือการใช้น้ำเสียงที่ใช้เรียกได้เป็นร้อยๆ เสียง …
คุณประเมินความสามารถลูกของคุณต่ำไปหรือเปล่า
ช่วงนี้ผมมักจะได้เห็นบทความหรือการแสดงความคิดเห็นต่างๆเกี่ยวกับการผลักดันเด็กๆ รวมไปถึงเรื่องที่ว่าเด็กๆควรจะมีอิสระและสนุกกับการใช้ชีวิตในวัยเด็กมากกว่าที่จะถูกบังคับให้เรียน ซึ่งผมก็รู้สึกเห็นด้วยในเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็ตามยังมีข้อโต้แย้งหลายๆอย่างและยังมีบทความบางบทความที่ยังไม่เปิดกว้างเกี่ยวกับนิยามของคำว่าผลักดัน การติดตามงานวิจัยที่เกี่ยวกับการศึกษาก็เป็นงานอีกอย่างหนึ่งของผม ในทุกๆวันผมจะได้อ่านบทความเกี่ยวกับการที่เด็กๆถูกผลักดันมากจนเกินไป และพบบางความคิดเห็นจากบางท่านที่ได้อ่านนิตยสารสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่เชื่อว่าเด็กๆไม่ควรจะเข้าโรงเรียนจนกว่าพวกเขาจะมีอายุ 6-7 ปี ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากคนที่ชอบทำตัวให้เหมือนกับว่าพวกเขานั้นรู้มากกว่างานวิจัยและรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับการศึกษา และทุกๆคนต่างก็พูดถึงเรื่องนั้นไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ คุณครู หรือแม้กระทั่งเหล่าคนดังทั้งหลาย และคนเรามักจะทำตามกระแสอย่างรวดเร็วเพื่อพยายามทันตัวให้ทันสมัย แต่ในขณะเดียวกันพวกเขากลับลืมไปว่าสิ่งที่เขากำลังโต้กันอยู่นั้นคือเรื่องอะไร ผมเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะขัดแย้งกันและฟังดูเหมือนกับว่าผมจะเป็นพวกต้านกระแส แต่ลองมาฟังความคิดเห็นของผมดีกว่า ประการแรก การที่เราผลักดันให้เด็กๆทำอะไรในสิ่งที่พวกเขาไม่อยากจะทำนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย…
เกมสำหรับการสอนโฟนิค์ : Buried Treasure
เกมนี้เด็กๆจะต้องผลัดกันอ่านเสียงหรือคำศัพท์จากเหรียญของโจรสลัด ซึ่งเกมสามารถเล่นได้ 2 วิธี ดังนี้ เหรียญจริง VS เหรียญปลอม ถ้าเด็กๆคิดว่าคำศัพท์ที่พวกเขาได้อ่านจากเหรียญเป็นคำศัพท์จริงๆ ให้พวกเขาเอาเหรียญใส่ในหีบสมบัติเพื่อเก็บไว้ แต่ถ้าเด็กๆคิดว่ามันเป็นไม่ได้เป็นคำศัพท์จริงๆให้พวกเขาเอาเหรียญไปทิ้งในถังขยะ แข่งกับโจรสลัด เด็กๆจะต้องเอาชนะโจรสลัดให้ได้โดยการอ่านคำศัพท์ให้ถูกต้องเพื่อเก็บสะสมเหรียญ ถ้าเด็กๆไม่สามารถอ่านคำศัพท์ได้เด็กๆก็จะไม่ได้เหรียญนั้นและ โจรสลัดก็จะเก็บเหรียญกลับเข้าไปไว้ในหีบของเขาเหมือนเดิม อุปกรณ์ที่ต้องใช้ : เหรียญขนาดใหญ่สำหรับเขียนคำศัพท์ที่สามารถลบแก้ได้, หีบสมบัติ, ถังขยะ,…
เกมสำหรับการสอนโฟนิคส์ : Focus on Phonics
เกมนี้สามารถเล่นในห้องเรียนได้ แต่ถ้าต้องการให้ได้ผลดีควรจะพาเด็กๆไปเล่นนอกห้องเรียนเพราะเกมนี้เป็นเกมเกี่ยวกับการผจญภัย เด็กๆทุกคนจะมีแว่นขยายเป็นเครื่องมือ และพวกเขาจะต้องออกไปตามหาบัตรคำต่างๆเพื่อมาอ่านให้คุณครูฟัง หากว่าคุณมีแมลงจำลองที่เป็นพลาสติกตัวเล็กๆให้ติดบัตรคำศัพท์ไว้ที่ใต้ตัวแมลง และเอาแมลงเหล่านั้นในซ่อนตามพุ่มไม้หรือท่ามกลางดอกไม้ ตัวอักษรที่ใช้ในบัตรคำควรจะเป็นอักษรตัวเล็กๆที่สามารถอ่านได้โดยการใช้แว่นขยายเพื่อช่วยอ่านเท่านั้น เราชอบเกมนี้มากเนื่องจากเด็กๆจะต้องให้ความสนใจกับคำที่จะต้องอ่านมาก อุปกรณ์ที่ต้องใช้ แว่นขยาย, บัตรคำศัพท์เล็กๆ, แมลงจำลอง
เกมสำหรับการสอนโฟนิคส์ : Phonics Raceway
เกมนี้เป็นเกมที่เด็กๆชื่นชอบมาก คุณครูอาจจะต้องเตรียมอุปกรณ์เยอะหน่อยแต่ว่ามันคุ้มค่ากับการเตรียมการ เด็กๆจะขับรถเด็กเล่นไปรอบๆสนามเด็กเล่น (หรือทางเดินรถหากว่าคุณมี) และเด็กๆจะต้องจอดรถที่เสาที่มีบัตรคำติดอยู่เพื่ออ่านคำศัพท์ เกมนี้สามารถเล่นได้หลายวิธี สำหรับเด็กเล็กให้เด็กพยายามใช้ตัวเลือกแค่ไม่กี่ตัวและให้เด็กๆเลือกเสียงที่ถูกต้อง สำหรับเด็กโตสามารถใช้เป็นคำที่อยู่ในระดับของเด็กได้ ส่วนใหญ่เราจะใช้บัตรคำสีๆที่ลบแก้ไขได้เพื่อความหลากหลาย ดังนั้นเด็กสามารถเลือกบัตรคำและได้รับคะแนนจากการอ่านบัตรคำที่พวกเขาเลือกได้ และยิ่งคำที่มีความยากมากขึ้นเท่าไหร่คะแนนที่ได้ก็จะมากขึ้นเท่านั้น บางครั้งคุณครูอาจจะต้องการให้เด็กบางคนอ่านบัตรคำที่มีความยากกว่าเด็กคนอื่นหากว่าในกลุ่มนั้นประกอบไปด้วยเด็กๆที่มีความสามารถหลายระดับ เกมนี้ควรจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วและสามารถทำได้ทั้งเป็นการเล่นเดี่ยวๆหรือให้แข่งขันระหว่างทีมก็ได้ ซึ่งไม่ว่าจะเล่นแบบไหนเด็กๆก็ชอบเล่นเกมนี้มาก อุปกรณ์ที่ต้องใช้ : รถเด็กเล่น, เสาสำหรับติดบัตรคำ, บัตรคำที่ลบแก้คำได้และบัตรคำที่ตรงกับระดับความสามารถของเด็ก
เกมสำหรับการสอนโฟนิคส์ : Run to the Board
เกมนี้เหมาะสำหรับเป็นกิจกรรมกลางแจ้งเนื่องจากจะต้องวิ่ง เกมนี้ไม่มีอะไรยุ่งยากแต่จะมีความแตกต่างในเรื่องของกิจกรรมการเขียนโฟนิคส์ในแต่ละห้องเรียน เกมนี้เหมาะกับคำศัพท์ที่เป็น Tricky words ซึ่งคุณครูจะให้เด็กอ่านและจำคำศัพท์ที่สนามฝั่งนึงและเด็กๆจะต้องวิ่งไปที่ไวท์บอร์ดของตัวเองและสะกดคำให้ถูกต้อง อีกทั้งเกมนี้ยังสามารถเล่นได้โดยการที่คุณครูบอกคำศัพท์และให้เด็กเขียนคำศัพท์โดยการแยกส่วนประกอบของเสียง ถ้าเป็นเด็กโตขึ้นมาหน่อยสามารถแบ่งเด็กออกเป็นกลุ่มเพื่อแข่งขันกันได้ และสำหรับเด็กเล็กอาจจะให้เด็กๆเขียนเฉพาะเสียงเดี่ยว อุปกรณ์ที่ต้องใช้ : ไวท์บอร์ด, ปากกา
เกมสำหรับการสอนโฟนิคส์ : Musical Phonics
เกมนี้เป็นเกมที่เด็กๆชื่นชอบและเป็นเกมที่เหมาะที่จะเป็นกิจกรรมเริ่มต้นหรือกิจกรรมหลักของการเรียน เด็กทุกคนจะต้องมีไวท์บอร์ดและปากกาวางอยู่บนโต๊ะเพื่อเตรียมพร้อม จากนั้นคุณครูจะเปิดเพลงและเด็กๆจะต้องเต้น และเมื่อเพลงหยุด คุณครูจะบอกคำศัพท์ที่นักเรียนจะต้องเขียน นักเรียนจะต้องกลับไปที่โต๊ะของตัวเองอย่างรวดเร็ว (และปลอดภัย)เพื่อเขียนคำศัพท์ และแยกส่วนประกอบของคำถ้าหากว่าคำนั้นสามารถอ่านแบบโฟนิคส์ได้ หรือให้สะกดคำหากว่าคำนั้นเป็น Tricky Words อีกทางเลือกหนึ่งก็คือให้เด็กๆออกมาเล่นข้างนอกหากว่าคุณมีเครื่องเล่นเสียงด้านนอก วางบัตรคำกระจายบนพื้น และเปิดเพลง ในขณะที่เปิดเพลงก็ให้นักเรียนวิ่งและเต้นอยู่รอบๆ และเมื่อเพลงหยุด นักเรียนจะต้องไปหยิบบัตรคำและอ่านออกเสียงให้คุณครูฟัง เราชอบใช้เพลง “Yakety Sax”…
เกมสำหรับการสอนโฟนิคส์ : Phon-Eggs Surprise
เกมนี้เริ่มเล่นโดยการเขียนเสียงหรือคำศัพท์และใส่ลงไปในไข่พลาสติก และนำไข่ไปซ่อนในที่ต่างๆเพื่อให้เด็กๆตามหา เกมนี้เป็นการกระตุ้นก่อนการเรียนที่ดีเพราะเด็กๆจะตื่นเต้นกับการค้นหาไข่ อีกทั้งยังสามารถใส่ของเล่นเล็กๆลงไปในไข่บางใบได้เพื่อเพิ่มความสนุกสนาน กิจกรรมนี้เหมาะสมสำหรับเด็กเล็ก แต่ถ้าหากว่าเด็กๆยังเปิดไข่เองไม่ได้ คุณครูอาจจะต้องเก็บไข่ทั้งหมดมาและช่วยเปิดให้กับเด็กๆ ไข่แต่ละสีจะมีความแตกต่างในเรื่องของความยากง่ายของคำ ซึ่งเราสามารถเจาะจงให้เด็กบางคนหาเฉพาะไข่สีใดสีนึงได้เพราะเราสามารถกำหนดคำศัพท์ข้างในไข่ให้อยู่ในระดับเดียวกับการอ่านของเด็กๆได้ อุปกรณ์ที่ต้องใช้ : ไข่พลาสติก, ตะกร้า, บัตรคำ